การผสมพันธ์
วิธีการผสมพันธุ์
การผสมพันธุ์โคมีอยู่ 3 วิธีคือ
1. การปล่อยให้พ่อพันธุ์คุมฝูง
เป็นการปล่อยพ่อพันธุ์ให้คุมฝูงแม่โคและให้มีการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ ซึ่งมีข้อดีคือผู้เลี้ยงไม่ต้อง
คอยสังเกตการเป็นสัดของแม่พันธุ์ พ่อพันธุ์จะทราบและผสมกับแม่พันธุ์เอง แต่มีข้อเสียคือถ้าแม่พันธุ์เป็นสัด พ่อพันธุ์จะคอยไล่ตามจนไม่สนใจกินหญ้ากินอาหาร ถ้ามีแม่พันธุ์เป็นสัดหลายตัวในเวลาใกล้เคียงกันจะทำให้ พ่อพันธุ์มีร่างกายทรุดโทรม วิธีแก้ไขโดยขังพ่อพันธุ์ไว้เมื่อปล่อยแม่พันธุ์ออกไปเลี้ยงในแปลงหญ้า แล้วนำพ่อ พันธุ์เข้าผสมเมื่อฝูงแม่พันธุ์กลับเข้าคอก
ในพ่อโคอายุ 3 ปีขึ้นไป ควรใช้คุมฝูงแม่โคประมาณ 20 ถึง 30 แม่ต่อพ่อโค 1 ตัว แต่ในพ่อโคอายุ 2 ปีถึง 2 ปีครึ่ง ควรใช้คุมฝูงแม่โคประมาณ 12 ถึง 25 ตัวต่อพ่อโค 1 ตัว
ในทุกๆวันที่ปล่อยแม่โคออกไปเลี้ยงในทุ่งหญ้า ควรจะขังพ่อโคไว้ในคอกพร้อมทั้งมีหญ้าและน้ำสะอาด
อย่างเพียงพอ มีร่มเงาให้พ่อโค พ่อโคจะมีเวลาอยู่กับแม่โคและผสมกับแม่โคที่เป็นสัดในช่วงเช้า เย็น และกลางคืน แต่ทั้งนี้จะต้องไม่มีพ่อโคตัวอื่นอยู่ในทุ่งหญ้านั้นด้วย มิฉะนั้นจะถูกแอบผสมก่อน การขังพ่อโคไว้ ดังกล่าวเพื่อให้พ่อโคมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภาพการผสมพันธุ์สูงขึ้น พร้อมที่จะผสมกับ แม่โคได้เสมอ และอายุการใช้งานของพ่อโคจะยาวนานขึ้น
2. การจูงผสม
เป็นการผสมโดยจูงพ่อพันธุ์มาผสมกับแม่พันธุ์หรือจูงแม่พันธุ์มาผสมกับพ่อพันธุ์ การผสมโดยวิธีนี้ควร
แยกพ่อพันธุ์ออกเลี้ยงต่างหากเพราะจะทำให้พ่อพันธุ์มีสุขภาพสมบูรณ์ดี และพ่อพันธุ์สามารถผสมกับแม่พันธุ์
ได้จำนวนมากกว่าการใช้คุมฝูง แต่มีข้อเสียคือผู้เลี้ยงต้องคอยสังเกตการเป็นสัดเอง ปกติพ่อโคสามารถใช้ผสม
ได้สัปดาห์ละ 5 ครั้งหากมีการเลี้ยงดูที่ดี เกษตรกรรายย่อยเลี้ยงแม่โครายละประมาณ 5 ถึง 10 แม่ การที่จะเลี้ยงพ่อพันธุ์ไว้ใช้คุมฝูงเองอาจไม่
คุ้มกับการลงทุน เพราะพ่อโค 1 ตัวสามารถใช้คุมฝูงได้ 25 ถึง 50 ตัวดังที่กล่าวมาแล้ว หากอยู่นอกเขตบริการ ผสมเทียมจึงควรรวมตัวกันเป็นกลุ่มแล้วจัดซื้อหรือจัดหาพ่อพันธุ์มาประจำกลุ่ม เมื่อแม่โคเป็นสัดจึงนำแม่โคมารับการผสมจากพ่อโค เจ้าของแม่โคอาจต้องเสียค่าบริการในการผสมบ้างเพราะผู้เลี้ยงพ่อพันธุ์ต้องมีค่าใช้จ่าย
ในการเลี้ยงดูพ่อพันธุ์
แม่โคที่จะผสมกับพ่อโคจะต้องปราศจากโรคแท้งติดต่อ(หรือโรคบรูเซลโลซิส) ดังนั้นพ่อโคและแม่โค ของสมาชิกกลุ่มทุกตัวจะต้องได้รับการตรวจโรคและปลอดโรคแท้งติดต่อ เพราะหากพ่อพันธุ์เป็นโรคแล้วจะ แพร่โรคให้แม่โคทุกตัวที่ได้รับการผสมด้วย
3. การผสมเทียม
เป็นวิธีการผสมที่นำน้ำเชื้อพ่อพันธุ์มาผสมกับแม่พันธุ์ที่เป็นสัด โดยผู้ที่ทำการผสมเทียมจะสอดหลอด ฉีดน้ำเชื้อเข้าไปในอวัยวะเพศของแม่โคที่เป็นสัด ปกติจะสอดหลอดผ่านคอมดลูก(cervic)เข้าไปปล่อยน้ำเชื้อใน มดลูกของแม่โค รายละเอียดจะกล่าวในหัวข้อ “การจัดการเกี่ยวกับการผสมเทียม” ต่อไป
ขั้นตอนการผสมเทียมโค
1.สังเกตอาการภายนอก โคที่เป็นสัดจะยืนนิ่งให้ตัวอื่นปีนทับ มีเมือกใสไหลจากช่องคลอด อวัยวะเพศบวมแดง

2.สวม ถุงมือผสมเทียม ใช้สารหล่อหลื่น เช่นสบู่ ถูถุงมือแล้วล้วงผ่านทางทวารหนัก ล้วงอุจจาระออกมาจากลำไส้ใหญ่ส่วนปลายให้หมด ตรวจคลำระบบสืบพันธุ์ของแม่โคว่า แม่โคเป็นสัดจริงหรือไม่

3.ล้างบริเวณอวัยวะเพศภายนอกของแม่โคด้วยน้ำให้สะอาดและเช็ดทั้งด้านนอกด้านในให้แห้งด้วยกระดาษทิชชู หรือกระดาษฟาง


4.ใช้ สำลี ชุบแอลกอฮอล์เช็ดปากคีบ (forceps) ให้สะอาดก่อนใช้คีบหลอดน้ำเชื้อที่ต้องการออกจากถังสนาม แล้วแช่น้ำเชื้อลงในน้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 35-37 °C ทันทีนานเป็นเวลา 30 วินาที และเวลาตั้งแต่คีบหลอดน้ำเชื้อจนถึงแช่ลงในน้ำอุ่น ไม่ควรเกินกว่า 3 วินาที

5.เมื่อ ละลายน้ำเชื้อในน้ำอุ่นครบ 30 วินาทีแล้วใช้ปากคีบคีบหลอดน้ำเชื้อขึ้นมาเช็ดหลอดน้ำเชื้อด้วยกระดาษทิชชู หรือสำลีให้แห้งอย่าให้เหลือน้ำติดข้างหลอด สะบัดหลอดน้ำเชื้อให้ฟองอากาศไปอยู่ด้านที่ตีบ และตัดด้านที่ตีบโดยตัดระหว่างฟองอากาศ สอดหลอดน้ำเชื้อด้านที่ตัดเข้าไปในพลาสติกชีท และดันต่อเข้าไปจนสุด หลอดน้ำเชื้อจะล็อกกับจุกสีเขียวในพลาสติกชีท ดึงก้านปืนออกมาจากตัวปืนประมาณ 1 คืบแล้วสวมพลาสติกชีทที่มีหลอดน้ำเชื้ออยู่ภายในครอบปืนฉีดน้ำเชื้อ ดันตัวปืนไปจนสุดพลาสติคชีท ใช้วงแหวนล็อคพลาสติคชีทให้ติดปืน และล็อคให้แน่น


6.ทดสอบ น้ำเชื้อโดยกดก้านปืน ให้น้ำเชื้อปริ่มออกมาที่ปลายหลอดเล็กน้อย เพื่อมั่นใจว่าหากทำการผสมเทียม น้ำเชื้อจะไหลออกไปด้านนอก ไม่ไหลย้อนกลับเข้าในพลาสติกชีท สวมแซนนิตารีชีทหุ้มปืนทั้งหมดอีกชั้นหนึ่ง




7.สวมถุงมือ ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ เปิดถ่างอวัยวะเพศแม่โคให้กว้างที่สุดและสอดปืนผ่านเข้าไปโดยสอดเฉียงด้านบน 45 องศา เพื่อป้องกันปลายปืนเข้าไปในรูเปิดของกระเพาะปัสสาวะ เมื่อปืนฉีดน้ำเชื้อผ่านเข้าไปแล้ว ให้สอดต่อไปตามแนวระนาบ จากนั้นใช้มือข้างที่สวมถุงมือล้วงผ่านทวารหนัก ตามปืนฉีดน้ำเชื้อเข้าไป และจับที่คอมดลูก (Cervix) ถ้าขณะสอดปืนผ่านช่องคลอด(Vagina) ปลายปืนมักจะไปติดรอยย่นบางส่วนของช่องคลอดและสอดปืนต่อไปไม่ได้ ให้ใช้มือที่อยู่ในช่องลำไส้ใหญ่ ดึงคอมดลูกให้ยืดออกไปด้านหน้าของตัวโค จะทำให้รอยย่นที่อยู่ในส่วนของช่องคลอดยืดออก ปืนจะสอดผ่านเข้าไปได้ จนถึงหน้าคอมดลูก เมื่อปลายปืนถึงหน้าคอมดลูก ให้ดึงปลายอีกข้างหนึ่งของแซนนิตารี ชีท จนปลายปืนทะลุแซนนิตารี ชีท



8.สอดปืนเข้าไปในคอมดลูก วิธีการสอดปืนผ่านคอมดลูกทำได้โดย ใช้มือข้างที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ จับปลายคอมดลูกไว้โดยจับระหว่างส่วนต่อของคอมดลูก(Cervix) กับช่องคลอด (Vagina) ยกขึ้นให้อยู่ระดับเดียวกับปืนฉีดน้ำเชื้อ จากนั้นใช้หัวแม่มือกดหาส่วนที่เป็นรูเปิดของคอมดลูก ซึ่งจะเป็นช่องทางที่จะสอดปืนผ่านเข้าไปในคอมดลูก เมื่อพบแล้วให้สอดปลายปืนฉีดน้ำเชื้อไปจนชนนิ้วหัวแม่มือ จากนั้นหลบหัวแม่มือออก ปลายปืนจะผ่าน เข้าไปในรูของคอมดลูก

9.เมื่อปืนฉีดน้ำเชื้อผ่านเข้าไปในรู ของคอมดลูกแล้ว เนื่องจากรูของคอมดลูกไม่ตรง มักจะคดไปมาและมีหลืบ ปลายปืนมักจะติดส่วนที่เป็นหลืบภายในโพรงของคอมดลูก ให้ใช้มือข้างที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ค่อย ๆ ขยับหรือดัดคอมดลูก ซ้ายขวา บนล่าง และสวมเข้าในปืน ซึ่งผู้ทำการผสมเทียมจะรู้สึกได้ว่าปลายปืนผ่านเข้าไปในคอมดลูกทีละเปลาะ ๆ ซึ่งต้องค่อย ๆ สอดผ่านไป จนผ่านทะลุคอมดลูก ขณะกำลังสอดปืนผ่านคอมดลูก ผู้สอดปืนจะต้องทราบเสมอว่า ขณะนั้นปลายปืนอยู่ที่ตำแหน่งใด
10.ขณะที่ปลายปืนกำลังจะผ่านทะลุคอ มดลูก ให้สอดปืนอย่างช้า ๆ และระมัดระวัง อย่าให้ปลายปืนเลยเข้าไปถึงตัวมดลูก(Body of Uterus) มากนัก เพราะอาจไปครูดกับผนังตัวมดลูก เมื่อปลายปืนฉีดน้ำเชื้อทะลุคอมดลูกแล้ว ให้สอดปลายปืนเข้าไปอีกประมาณ 1 cm. โดยทำการคลำระหว่างรอยต่อของคอมดลูกกับตัวมดลูกทางด้านล่าง ถ้าพบเพียงปลายปืนฉีดน้ำเชื้อ หมายถึงปลายปืนผ่านทะลุคอมดลูกเข้าไปในตัวมดลูกเป็นระยะ 1 cm.ถูกต้องแล้ว หากคลำรอยต่อระหว่างคอมดลูกและตัวมดลูกพบก้านปืนฉีดน้ำเชื้อ แสดงว่าปลายปืนเข้าลึกเกินไปให้ดึงปืนฉีดน้ำเชื้อถอยออกมาอย่างระมัดระวัง

ปลายปืนผ่านคอมดลูกเข้าตัวมดลูก 1 cm.
11.ทำการบีบก้านปืนฉีดน้ำเชื้อ ประมาณ 2 ใน 3 ของความยาว เพื่อปล่อยน้ำเชื้อ 2 ใน 3 ของหลอดภายในตัวมดลูก ให้ปล่อยน้ำเชื้อช้า ๆ ใช้เวลาปล่อยน้ำเชื้อประมาณ 8 วินาที จากนั้น ถอยปืนออกมาจนปลายปืนอยู่กลางคอมดลูก (Cervix) ปล่อยน้ำเชื้อที่เหลือกลางคอมดลูก (Cervix)
12. ถอดถุงมือแล้วม้วนถุงทิ้งในถังขยะ ล้างรองเท้าบู๊ทและผ้ากันเปื้อนให้สะอาด บันทึกรายละเอียดการผสมเทียมลงในแบบบันทึกต่าง ๆ
เวลาที่เหมาะสมในการผสมเทียม
หลังจากฉีดน้ำเชื้อเข้าสู่ตัวมดลูก (Body of Uterus) แล้ว อสุจิจะใช้เวลาในการเดินทางไปถึงท่อนำไข่ เป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะเร็ว และลักษณะช้า อสุจิที่เคลื่อนที่ถึงท่อนำไข่ลักษณะเร็ว จะตายทั้งหมดและถูกขับออกทาง fimbria ของท่อนำไข่และตกลงช่องท้อง ส่วนอสุจิที่เคลื่อนที่ถึงท่อนำไข่ลักษณะช้า จะเป็นอสุจิที่เข้าทำการปฏิสนธิ ซึ่งจะเริ่มพบอสุจิที่ยังแข็งแรงพร้อมที่จะทำการปฏิสนธิได้ในท่อนำไข่ส่วน Ampulla ประมาณ 10 ชั่วโมง หลังผสมเทียมและพบมากที่สุดประมาณ 24 ชั่วโมงหลังผสมเทียม

ขณะที่อสุจิเดินทางผ่านมดลูก ผ่านท่อนำไข่ เพื่อเตรียมตัวจะผสมกับไข่ ตัวอสุจิจะพัฒนาตัวเองเกิดปฏิกิริยา Capacitation เพื่อเตรียมพร้อมผสมกับไข่
ไข่ที่ตกลงสู่ท่อนำไข่ จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 12-24 ชั่วโมง ถ้าภายในเวลา 12-24 ชั่วโมง ไข่ไม่ได้รับการผสมกับอสุจิ ไข่ก็จะสลายไปหรือไข่ที่ตกลงมาในท่อนำไข่เป็นเวลานาน จนเป็นไข่แก่เมื่อได้รับการผสมกับอสุจิ ตัวอ่อนมักจะตายในระยะต้น ๆ ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมในการผสมเทียมควรเป็นเวลาที่ไข่ตกและไข่จะพบกับตัวอสุจิทันที เนื่องจากเป็นช่วงที่ไข่ยังแข็งแรงและอสุจิก็ยังแข็งแรง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการผสมเทียม คือ ช่วงหลังจากโคที่เป็นสัดเริ่มยืนนิ่งให้ตัวอื่นขี่ ในช่วง 6-20 ชั่วโมง แต่จากการทดลองในประเทศไทยหากผสมในช่วง 12-18 ชั่วโมงหลังจากโคที่เป็นสัดเริ่มยืนนิ่ง จะมีอัตราการผสมติดสูงที่สุด ส่วนในต่างประเทศจะอยู่ในช่วง 10-13 ชั่วโมงหลังจากโคที่เป็นสัดเริ่มยืนนิ่ง
การผสมเทียมให้ตรงกับช่วงเวลาที่เหมาะสมจริง ๆ ในทางปฏิบัติทำได้ยาก ดังนั้น ที่นิยมปฏิบัติและได้ผลมาก คือ หากพบว่าโคเป็นสัดยืนนิ่งตอนเช้า ทำการผสมเทียมตอนเย็น หากแม่โคเป็นสัดยืนนิ่งตอนเย็น ผสมเทียมเช้าวันรุ่งขึ้น


ตำแหน่งฉีดน้ำเชื้อ ในตัวมดลูก ในคอมดลูก
จะรู้ได้อย่างไรลูกโคคลอดปกติหรือไม่

ขณะที่อสุจิเดินทางผ่านมดลูก ผ่านท่อนำไข่ เพื่อเตรียมตัวจะผสมกับไข่ ตัวอสุจิจะพัฒนาตัวเองเกิดปฏิกิริยา Capacitation เพื่อเตรียมพร้อมผสมกับไข่
ไข่ที่ตกลงสู่ท่อนำไข่ จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 12-24 ชั่วโมง ถ้าภายในเวลา 12-24 ชั่วโมง ไข่ไม่ได้รับการผสมกับอสุจิ ไข่ก็จะสลายไปหรือไข่ที่ตกลงมาในท่อนำไข่เป็นเวลานาน จนเป็นไข่แก่เมื่อได้รับการผสมกับอสุจิ ตัวอ่อนมักจะตายในระยะต้น ๆ ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมในการผสมเทียมควรเป็นเวลาที่ไข่ตกและไข่จะพบกับตัวอสุจิทันที เนื่องจากเป็นช่วงที่ไข่ยังแข็งแรงและอสุจิก็ยังแข็งแรง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการผสมเทียม คือ ช่วงหลังจากโคที่เป็นสัดเริ่มยืนนิ่งให้ตัวอื่นขี่ ในช่วง 6-20 ชั่วโมง แต่จากการทดลองในประเทศไทยหากผสมในช่วง 12-18 ชั่วโมงหลังจากโคที่เป็นสัดเริ่มยืนนิ่ง จะมีอัตราการผสมติดสูงที่สุด ส่วนในต่างประเทศจะอยู่ในช่วง 10-13 ชั่วโมงหลังจากโคที่เป็นสัดเริ่มยืนนิ่ง
การผสมเทียมให้ตรงกับช่วงเวลาที่เหมาะสมจริง ๆ ในทางปฏิบัติทำได้ยาก ดังนั้น ที่นิยมปฏิบัติและได้ผลมาก คือ หากพบว่าโคเป็นสัดยืนนิ่งตอนเช้า ทำการผสมเทียมตอนเย็น หากแม่โคเป็นสัดยืนนิ่งตอนเย็น ผสมเทียมเช้าวันรุ่งขึ้น

ตำแหน่งที่ฉีดน้ำเชื้อ
ในการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติพ่อโคจะปล่อยน้ำเชื้อที่ส่วนของช่องคลอด (Vagina) หน้าคอมดลูก (Cervix) แต่ในการผสมเทียม ปริมาณตัวอสุจิที่ใช้จะน้อยกว่าการผสมตามธรรมชาติมาก หากปล่อยน้ำเชื้อที่ตำแหน่งช่องคลอดอาจทำให้ผสมต่ำ
ในการผสมเทียมตำแหน่งที่ปล่อยน้ำเชื้อ คือที่ตัวมดลูก (body of uterus) และภายในคอมดลูก(cervix) โดยปล่อยน้ำเชื้อปริมาณ 2 ใน 3 ที่ตัวมดลูก (Body of Uterus) เลยส่วนของ internal os ประมาณ 1 cm. จากนั้นถอยปืนฉีดน้ำเชื้อออกมาให้ปลายปืนอยู่ในคอมดลูกและปล่อยน้ำเชื้อที่เหลืออีก 1 ใน 3 ของหลอดในส่วนของคอมดลูก (Cervix)



ตำแหน่งฉีดน้ำเชื้อ ในตัวมดลูก ในคอมดลูก
จะรู้ได้อย่างไรว่าโคตั้งท้องหรือไม่
เมื่อโคนาง ได้รับการผสมไปแล้วประมาณ 21 วันหากโคไม่กลับมาแสดงอาการเป็นสัดอีกก็อาจคาดได้ว่าผสมติดหรือโคตัวนั้น เริ่มตั้งท้องแล้ว เพื่อให้รู้แน่ชัดยิ่งขึ้นภายหลังจากการผสมโคนางแล้ว 50 วันขึ้นไปอาจติดต่อ สัตวแพทย์หรือบุคคลผู้มีความ ชำนาญในการตรวจท้องแม่โค (โดยวิธีล้วงเข้าไปคลำลูกโคทางทวารของแม่โค) มาทำการตรวจท้องแม่โคก็จะทราบได้แน่ชัดยิ่งขึ้น
........ข้อสังเกต ในกรณีโคสาว จะสังเกตได้จากการเจริญเติบโตที่เร็วขึ้น กินจุขึ้น ความจุของลำตัวโดยเฉพาะส่วนท้องซี่โครงจะกางออกกว้าง ขึ้น ขนเป็นมัน และไม่เป็นสัดอีก
การคลอดลูก
โดยทั่วไปแม่โคจะตั้งท้องประมาณ 283 วัน หรือประมาณ 9 เดือนเศษ ในช่วงนี้แม่โคจะได้การเอาใจใส่ดูแลเรื่องความเป็นอยู่และอาหารเป็นพิเศษ เพราะลูกในท้องเจริญขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในระยะ
ก่อนคลอดประมาณ 45 - 80 วัน ควรเพิ่มอาหารผสมให้แก่แม่โคท้อง เพื่อแม่โคจะได้นำไปเสริมสร้างร่างกายส่วนที่สึกหรอ และนำไปเลี้ยงลูก หรือนำไปสร้างความเจริญเติบโตสำหรับอวัยวะบางอย่างที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุดและเพื่อไม่ให้แม่โคซูบผอม สำหรับแม่โคที่กำลังให้นม เมื่อตั้งท้องลูกตัวต่อไปควรจะหยุดรีดนมก่อนคลอดประมาณ 45 - 60 วัน สำหรับแม่โคท้องแรกหรือท้องสาวหรือแม่โคที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ (อายุไม่ถึง 5 ปี) แม้จะให้ลูกมาแล้ว 1 หรือ 2 ตัวก็ตาม ก่อนคลอดลูกตัวต่อไปควรจะหยุดพักการรีดนมเร็วกว่าแม่โคที่โตเต็มที่แล้ว อย่างน้อยก่อนคลอดประมาณ 45 - 60 วัน เพื่อให้แม่โคได้มีเวลาเตรียมตัวได้พักผ่อนร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ บ้าง มิฉะนั้นแม่โคอาจจะได้รับผลกระทบกระเทือน นั่นหมายถึงผลเสียหายที่จะตามมาภายหลังได้ เช่น ร่างกายจะชะงักการเติบโตเพราะอาหารไม่พอ ร่างกายไม่สมบูรณ์
อาการที่แม่โคแสดงออกเมื่อใกล้คลอด
เราอาจจะสังเกตอาการต่างๆได้ดังนี้
1. เต้านมขยายใหญ่ขึ้น
2. อวัยวะเพศขยายตัวขึ้น ยิ่งใกล้วันคลอดเข้ามาสังเกตเห็นมีน้ำเมือกไหลออกมาจากช่องคลอด
3. กระดูกเชิงกรานขยายตัวออกกว้างขึ้น โคนหางตรงกระดูกก้นกบจะบุ๋มลึกลงทั้งสองข้าง
4. ช่องท้องตรงสวาปจะลึกหย่อนลง
5. ยกหางขึ้น-ลงเล็กน้อยเป็นครั้งคราว
6. ถ้าเป็นโคที่ปล่อยรวมฝูงจะพยายามแยกตัวออกจากฝูง
7. แม่โคที่ถูกขังจะไม่สนใจในการกินหญ้า อาหาร ยืนกระสับกระส่าย ขกขาหลังแตะอยู่เรื่อย ๆ มีการเบ่งคลอดตลอดเวลา
ท่าคลอดปกติของลูกโค
ลักษณะการคลอดลูกในท่าปกติของแม่โค คือ ลูกโคจะเหยียดขาหน้าตรงออกมาพร้อมกันทั้งสอง (ส่วนหัวแนบชิดกับเข่า) จะเห็น เป็น 3 จุด คือ 2 กีบข้างหน้า และจมูก ถ้าหากมีลักษณะอื่น ๆ ผิดไปจากนี้ให้ถือเป็นการคลอดที่ผิดปกติ อาทิเช่น หัวพับหรือเอาด้าน หลังออกมาก่อนส่วนอื่น หรือกรณีที่ลูกโคมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถผ่านช่องคลอดออกมาได้ หรือกรณีอื่น ๆ เช่นนี้ควรรีบติดต่อสัตวแพทย์มาช่วยทำการคลอด
และหากลูกโคคลอดออกมาแล้วรกยังไม่ออกตามมาถ้าเกิน 12 ชั่วโมง ควรรีบตามสัตวแพทย์มาช่วยแก้ไข เพราะถือว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับแม่โค ซึ่งต้องรีบทำการรักษา หลังจากลูกโคคลอดออกมาแล้วควรรีบเช็ดทำความสะอาดตัวลูกโคให้แห้งโดยเร็ว โดยเฉพาะเมือกบริเวณจมูกปากและลำตัวพร้อมกับทำการตัดสายสะดือให้ห่างจากตัวโคประมาณ 1 นิ้วแล้วทาด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน